การจัดโต๊ะไหว้เจ้า

นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งมีความหลากหลายทั้งแนวคิดและวิธีปฏิบัติ   โบราณจึงว่าจีน 12 ภาษา   นั่นย่อมหมายถึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสุดขั้ว   ไทยก็รับเอาวัฒนธรรมบางส่วนเข้ามาพร้อมๆกับการอพยพของคนจีนรุ่นคุณปู่(อาก๋ง)   ที่ว่ากันว่ามีแค่เสื่อผืนหมอนใบเท่านั้น   แต่แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเนื้อหาของวัฒนธรรมหนึ่งๆ   ย่อมมีขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา   เพราะวัฒนธรรมเป็นสิ่งมีชีวิต   ย่อมอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของความผันแปรเช่นสรรพสิ่งอื่นๆนั่นแล้ว

บางท่านว่าเป็นธรรมชาติลักษณะหนึ่งของการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ   ด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่า   วัฒนธรรมการไหว้เจ้าของคนจีน   แม้จะร่อนเร่พเนจรไปในแผ่นดินใดๆก็ตาม   การไหว้พระบูชาเทพก็จะไม่มีวันสูญพันธ์ไปจากสังคมมนุษย์   ไม่ว่าสังคมนั้นจะเจริญด้วยเทคโนโลยีปานใดก็ตาม   ทั้งนี้เพราะวัฒนธรรมการไหว้เจ้าเป็นเสมือนจิตวิญญาณของผู้คน   ภายใต้จิตสำนึกลึกๆแล้ว   มีความผูกพันอยู่กับพิธีกรรมเหล่านี้อย่างแนบแน่น   เพียงแต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปบ้างเพื่อรักษาวัฒนธรรมนั้นๆให้คงอยู่

การจัดโต๊ะไหว้เจ้า ไม่เคยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏชัดเจนในตำราใดๆมาก่อน   ส่วนใหญ่จะเป็นการรับสืบทอดกันต่อๆมาภายในครอบครัวหนึ่งๆ   ด้วยการจดจำ(ครูพักลักจำ)เป็นส่วนใหญ่   จะเข้าข่ายลัทธิเอาอย่างหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ   อย่างที่เกริ่นนำนั่นละครับ   รูปแบบการจัดโต๊ะไหว้เจ้าย่อมมีความแตกกต่างกันออกไปบ้าง   แต่โดยโครงสร้างหลักๆแล้ว   มีความแตกต่างไม่มากนัก   ยิ่งพิจารณาในแง่ของปรัชญาด้วยแล้ว   ดูเหมือนทั้งหมดจะสอดคล้องต้องกันไปในแนวทางเดียวกันชัดเจน

ยกตัวอย่างบางจังหวัดทางภาคใต้   ซึ่งกล่าวได้ว่า   จังหวัดทางภาคใต้ของไทย   มีการไหว้พระบูชาเทพอย่างเคร่งครัดและจริงจังมากที่สุดของทุกภาคของไทย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นชายฝั่งทะเลอันดามัน(ภาคใต้ตะวันตก)   อาจจะเป็นไปได้ว่าชาวจีนฮกเกี๋ยน ซึ่งถนัดในการไหว้เจ้าและได้เข้ามาก่อร่างสร้างฐานะในจังหวัดแถบชายทะเลฝั่งอันดามันมากที่สุด   ลูกหลานของบรรพชนเหล่านี้จึงรับพิธีกรรมทั้งรูปแบบและเนื้อหาสืบต่อกันมามิได้ขาดช่วง

แต่ละจังหวัดก็จะมีข้อแตกต่างกันออกไปบ้างเช่นที่ว่าไว้   ตัวอย่างการวางสัปรดบนโต๊ะไหว้   ถ้าเป็นพี่น้องชาวจังหวัดภูเก็ต   จะวางสัปรดโดยการตั้งยืน แต่ขณะเดียวกันพี่น้องชาวจังหวัดตรัง   กลับนิยมวางสัปรดบนโต๊ะไหว้ ด้วยการวางนอน ( ชาวตรังบอกว่าวางนอนหมายถึงไหว้พระ ,  วางตั้ง(ยืน)หมายถึงการไหว้ผีบรรพบุรุษ)    

อย่างไรก็ตาม   ข้อแตกต่างในรายละเอียดนั้นๆ ไม่ถือเป็นสาระสำคัญแต่อย่างใด เช่นที่ได้กล่าวไว้แล้ว   แม้แต่จีนซึ่งเป็นต้นตำหรับโดยแท้   ก็ยังมีข้อแตกต่างกันออกไปเสมอสำหรับการจัดโต๊ะไหว้เจ้า   แต่สาระสำคัญหลักๆ ก็ยังสอดคล้องกลมกลืนเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี

ถ้าจะว่าไปแล้ว   การจัดโต๊ะไหว้เจ้า   ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการจัดแท่นบูชาเจ้า(เทพ)แต่ประการใด   หลักใหญ่พอจะสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้

แท่นบูชาและองค์เทวรูป
การจัดลำดับธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ จะต้องนับจากแท่นที่บูชาไล่เข้ามาหาตัวผู้ศรัทธา   ซึ่งแน่นอนว่าผู้ศรัทธาจะต้องอยู่คนละฝั่งกับแท่นบูชา   นั่นหมายความว่าระหว่างเรากับเทวรูปหรือแท่นบูชา   จะต้องมีโต๊ะไหว้คั่นกลาง   โดยกำหนดเริ่มจากแท่นบูชาหรือเทวรูปเป็นหลัก

กระถางธูป
ถัดจากแท่นที่ประทับ , เทวรูป   ก็จะเป็นกระถางธูปซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด จะเป็นรองก็แต่เพียงองค์เทวรูปเท่านั้น   จะต้องวางกระถางธูปไว้หน้าแท่นบูชา-หน้าเทวรูป   โดยให้มีระยะห่างพอสมควร(เพื่อป้องกันไม่ให้เศษหรือก้านธูปที่ติดไฟ   หล่นลงใส่เทวรูป)   อย่างไรก็ตาม ,  กระถางธูปจะต้องอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะไหว้ซึ่งหมายความว่าอยู่ตรงกันข้ามกับตำแหน่งของผู้ศรัทธา   ( อย่าเอากระถางธูปมาวางไว้ด้านหน้าของตนเอง)   โดยมีเชิงเทียนขนาบไว้ซ้ายขวา

โถกำยาน
ถัดออกมาจะต้องเป็นตำแหน่งของโถกำยานซึ่งต่อตรงกับกระถางธูปในระนาบแนวเดียวกัน     โดยมีแจกันสำหรับใส่ดอกไม้สดขนาบไว้ซ้ายขวา   แต่ต้องไม่ปิดบังเชิงเทียน โดยจัดให้มีระยะช่องว่างช่องไฟที่เหมาะสม

ถ้วยน้ำดื่มหรือโถน้ำดื่ม

ถัดจากโถกำยานออกมาก็จะเป็นแถวของถ้วยน้ำหรือโถน้ำดื่ม   ซึ่งในพิธีกรรมสำคัญๆ จะต้องถวายน้ำดื่มหน้าแท่นบูชาเสมอ   และถัดออกมาจากแถวถ้วยน้ำดื่มก็จะเป็นแถวของจอกเหล้าหรือถ้วยเหล้าซึ่งควรเป็นเหล้าขาว(เพราะมีกลิ่นหอมชื่นใจ) และปิดท้ายด้วยแถวของจอกน้ำชาหรือถ้วยน้ำชา
ถ้วยเหล้าและถ้วยน้ำชา
ถ้าจะพูดแบบเราๆท่านๆ   ก็หมายความว่า ดื่มน้ำล้างปากเสียก่อน   เพื่อจะได้ลิ้มรสชาติของสุราอันหอมหวล   และล้างปากด้วยน้ำชาอีกครั้งก่อนที่จะถึงชุดอาหารคาว สำหรับจำนวนถ้วยนั้น   ทั้งสามแถวนี้ต้องสอดคล้องกันเสมอ   เช่นถ้าถวายน้ำดื่มจำนวน 5 ถ้วย   ก็ต้องถวายเหล้าและน้ำชา 5 ถ้วยเช่นกัน   หากถวายน้ำดื่ม 3 ถ้วย   ทั้งเหล้าและน้ำชาก็จะอยู่ที่ 3 ถ้วยเสมอ   ส่วนนี้ไม่ผูกพันกับส่วนถัดไป

การที่จะกำหนดว่ากี่ถ้วยต่อหนึ่งแท่นบูชา   ให้พิจารณาที่จำนวนองค์พระหรือเทวรูปที่ประทับอยู่ ณ แท่นบูชานั้นๆเป็นสำคัญ   หากมีองค์เทวรูปเคารพตั้งแต่ 1- 3 องค์   ให้จัดชุดไหว้น้ำเหล้าและน้ำชา 3 ที่(อย่างละ 3 ที่)   ถ้ามีเทวรูปเคารพตั้งแต่ 4 องค์ขึ้นไป   สำหรับในบ้านเรือนที่อยู่อาศัยทั่วไปให้จัดชุดไหว้ทั้งน้ำ   เหล้าและน้ำชา 5 ที่สูงสุด(แม้จะมีเทวรูปมากกว่าห้าองค์ก็ตาม   ให้ถือจำนวน 5 สูงสุด)

เว้นแต่กรณีที่มีรายละเอียดข้อมูลของเทพที่ตนบูชา   ให้ถวายไปตามข้อกำหนดเฉพาะองค์นั้นๆ   และหากไม่ได้ถวายเครื่องคาวในโต๊ะไหว้   ก็ไม่ต้องถวายเหล้า ให้ถวายเฉพาะชุดน้ำดื่มและน้ำชาเท่านั้น ( จะถวายเหล้าก็ต่อเมื่อในชุดไหว้นั้นมีของคาว)

เครื่องคาว
ถัดออกมาจากแถวของน้ำชา   ก็จะถึงแถวของเครื่องคาว ซึ่งจำนวนของคาวก็แล้วแต่ศรัทธา   โดยทั่วไปจะมีไหว้อยู่ 2 ชุด   เช่นถ้าเป็นของเครื่องคาว 3 ที่ ,  ในชุดนั้นก็จะต้องมีเครื่องหวาน 3 ที่ ,  ผลไม้ 3 ที่ ให้สอดคล้องกันไป(จำนวนนี้จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับชุดน้ำ เหล้าและน้ำชาที่ได้อธิบายไปก่อนแล้ว   เช่นถวายน้ำ เหล้าและน้ำชา 5 ที่   อาจถวายเครื่องคาว , หวานและผลไม้ 3 ที่   ก็ทำได้)   หรือจะจัดถวายเป็นชุด 5 ก็ได้   หมายถึงเครื่องคาว 5 ที่ , เครื่องหวานและผลไม้ก็ 5 ที่

ต้องทำความเข้าใจคำว่า "ที่" ให้ชัดเจน   หากระบุว่า 5 ที่   ก็หมายความว่า ต้องแยกของนั้นๆออกเป็นจานๆหรือแต่ละพาน   ของสิ่งหนึ่งก็ที่หนึ่งหรือพานหนึ่ง , จานหนึ่ง   ห้ามนำมารวมกันเป็นจานหรือพานหรือในถาดเดียวกัน   เช่นผลไม้ 5 ที่ ยกตัวอย่างเช่นสาลี่ 1 ที่(จานหรือพานหรือถาด จำนวน 3-4-5 ผล) อย่างนี้เรียกว่า 1 ที่ , ส้มโอ 1 ที่ (ก็หมายถึงส้มโอ 1 ผลต่อหนึ่งพานหรือจานหรือถาดก็ตามแต่)

ยกเว้นการไหว้ตี่จูเอี้ย , บรรพบุรุษ   สามารถจัดสิ่งของรวมกันในที่ที่เดียวได้ เช่นในหนึ่งจานมีผลไม้ 5 ชนิดหรือ 3 ชนิดรวมกัน   อย่างละกี่ผลก็สุดแต่ศรัทธาหรือสะดวก   แต่การไหว้พระ , ไหว้เจ้าหรือเทพ   ต้องแยกออกเป็นที่ที่ไป   ไม่สามารถนำมารวมกันในที่เดียวได้

เครื่องหวานและผลไม้
ถัดจากเครื่องคาวก็ตามด้วยชุดเครื่องหวานซึ่งกำหนดเป็นที่ที่เช่นเดียวกัน   และปิดท้ายด้วยชุดเครื่องหวานและชุดผลไม้ซึ่งก็ต้องแยกออกเป็นที่ที่เช่นกัน   ตามด้วยกระดาษเซ่นไหว้ตามสมควร

(สิ่งของที่จัดไหว้ตี่จูเอี้ย(เจ้าที่บ้าน)หรือบรรพบุรุษ สามารถจัดรวมกันในที่ที่เดียวได้ แต่สำหรับพระและเทพ

ถือเป็นข้อต้องห้าม)
การจัดโต๊ะไหว้เจ้าข้างต้น   สามารถอนุโลมใช้ได้กับการจัดโต๊ะบวงสรวงต่างๆ   ไม่ว่าเทพไทยจีนหรือแขก   อาจมีข้อปลีกย่อยสำหรับของไหว้ที่ต่างกันออกไปตามแต่ละธรรมเนียมปฏิบัติ   แต่ลำดับการจัดวางก็จะเรียงลำดับเช่นที่ได้กล่าวไว้แล้ว

รวมถึงการจัดโต๊ะไหว้รับเทพเจ้าแห่งโชคลาภในคืนวันปีใหม่จีน ซึ่งอาจต้องเพิ่มเครื่องสักการะอามิสบูชาเพิ่มขึ้น เช่น ขนมอี้แดงและอาหารเจแห้ง
ธนกฤต เสรีรักษ์

ตุลาคม 2550

http://www.tewaracha.com/ceremonial-thep.shtml


เคล็ดมงคล ไหว้พระจันทร์ ได้ดั่งใจหวัง
 
ทั้งนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการ ไหว้พระจันทร์ แบบจีนนั้น ซินแสภาณุวัฒน์
พันธุ์วิชาติกุล
ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตฯ
สะท้อนและให้ข้อมูลที่น่าสนใจผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า...
การไหว้พระ ไหว้เจ้า ไหว้เทพเจ้า หรือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีควบคู่ 
กับชุมชนชาวจีนมาหลายพันปีแล้ว ในสมัยโบราณที่ไม่มีเทคโนโลยี
ที่สามารถวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ไม่มีสาธารณูปโภค
ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต ทุกคน
จึงต้องสังเกตการณ์แปรเปลี่ยนของฟ้าดินและธรรมชาติที่อยู่รอบตัว
เพื่อการอยู่รอดปลอดภัย   

“มีการขอฟ้าขอฝนเพื่อเพาะปลูก
บนบานศาลกล่าวเทวดาฟ้าดินให้อำนวยอวยพรให้อยู่รอดปลอดภัย
เมื่อได้สิ่งที่ปรารถนาแล้วก็นำสิ่งของที่ตัวเองได้บนไว้มาแก้บน
ไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

ซินแสภาณุวัฒน์ระบุต่อไปว่า...แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาลมาก
มีทั้งทะเลทรายที่แห้งแล้ง ทะเลสาบที่ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์
มีภูเขาสูงเสียดฟ้าสูงชัน มีหุบเหวที่ลึกมากจนยากจะหยั่งถึง มีความแห้งแล้ง
มีน้ำท่วม จึงทำให้ในแต่ละแห่งของแผ่นดินจีนอาจจะมีขนบธรรมเนียมการไหว้พระ
ไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้าต่าง ๆ
ด้วยความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน อาจจะไม่ตรงเป็นเวลาเดียวกัน
แต่โดยรวมแล้วก็จะมีการไหว้คล้าย ๆ กัน   

“นอกจากไหว้เทพเจ้าแล้ว ยังมีการไหว้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ที่ให้แสงสว่างในเวลากลางวัน และเวลากลางคืน ไหว้ดวงดาวที่นำทางในยามค่ำคืน
ไหว้ฟ้าที่เปรียบเสมือนเป็นพ่อผู้ที่ก่อ เกิด
ไหว้ดินที่เสมือนแม่ที่ให้กำเนิด
ซึ่งการไหว้เหล่านี้แสดงถึงความกตัญญูที่มนุษย์มีต่อธรรมชาติ
เป็นการขอบคุณที่ทำให้อยู่ดี มีสุข เป็นสิริมงคล
ช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต”... ซินแสคนเดิมระบุ   

พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า...จากการ “ไหว้” ที่ผ่านเวลามายาวนาน
ก็มีการสร้างสิ่งของขึ้นมาไหว้ มีการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ หลากหลายชนิด
แต่ก็ยังยึดหลักธรรมเนียมปฏิบัติเก่า ๆ อยู่
มีการกำหนดทิศทางขึ้นมาเป็นหลัก “ฮวงจุ้ย” ที่ทำให้ถูกโฉลกกับวัน เดือน
ปีเกิด ของตัวเอง การจัดของไหว้ที่มีรูปแบบ รูปทรงต่าง ๆ
ตามความหมายที่ตัวเองต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับ
ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพต่าง ๆ
หรือบรรพชนที่ตัวเองเคารพนับถือ   

ทั้งนี้
การไหว้บูชาของคนจีนนั้นมีมากมาย มีการไหว้พระจีนเดือนละ 2 ครั้ง ใน 1
ปีก็เท่ากับ 24 ครั้ง มีการไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก 8 ครั้ง
หรือเรียกว่า 8 สารทใหญ่ ซึ่งการ “ไหว้พระจันทร์” ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนี้
เรียกว่า “เทศกาลตงชิว” เป็นช่วงวันเพ็ญ เดือน 8 แบบจีน
เป็นช่วงที่พระจันทร์สว่างไสว สวยงาม   

การไหว้พระจันทร์นี้
คนจีนมีความเชื่อว่า ดวงจันทร์เป็นตัวแทนแห่งอิสตรี ที่เป็นเพศแม่

ที่มีความนุ่มนวลสง่างาม ให้แต่ความสงบร่มเย็น เป็นหยิน
ส่วนพระอาทิตย์ที่ร้อนแรง เปรียบเสมือนเพศชายที่มีความแข็งแกร่ง ดุดัน
รุนแรง เป็นหยาง
และดวงจันทร์ยังมีความหมายอีกด้านที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก
เป็นเทศกาลที่บอกรัก ขอความรัก เกี้ยวพาราสีกัน ก็คล้าย ๆ
วันวาเลนไทน์ของฝรั่งเหมือนกัน เป็นวันที่เปิดโอกาสให้คนที่ยังไม่มีคู่
กล้าที่จะบอกเผยความในใจแก่กัน”   

ซินแสภาณุวัฒน์ยังบอกด้วยว่า...ชนชาวจีนมีการผสมผสานการ “ไหว้พระจันทร์”
ว่า “เปรียบเสมือนการไหว้เจ้าแม่กวนอิม” เข้าไปด้วย
จะมีการตั้งโต๊ะไหว้หลัง 6 โมงเย็นไปแล้ว
อีกทั้งก็มักจะวางโต๊ะไหว้หันไปทางหน้าบ้านเป็นส่วนใหญ่
แต่บางคนก็จะไหว้ตามทิศทางของฮวงจุ้ยของแต่ละปีเกิด
ของปีนักษัตรของแต่ละปีที่ไม่เหมือนกัน
ตรงนี้ก็อยู่ที่ความเหมาะสมและอยู่ที่ความเชื่อของแต่ละบุคคล

   
วิธีการไหว้ส่วนใหญ่จะทำซุ้มโค้งไว้แขวนของด้วยต้นอ้อยแลดูสวยงาม
ไหว้ด้วยของเจเหมือนไหว้เจ้าแม่กวนอิม ไหว้เป็นเลขคู่ คือ 4 อย่าง
อาจจะเป็นอาหารเจ 4 อย่าง ผลไม้ 4 อย่าง เช่น กล้วย แอปเปิ้ล ส้ม องุ่น
มีน้ำชา 4 ถ้วย ขนมหวาน 4 อย่าง เช่น ขนมเปี๊ยะ สาคูแดง ฯลฯ
ขนมไหว้พระจันทร์ 4 ลูก เป็นต้น   

“ที่เป็นผู้หญิงบ้างก็ไหว้ด้วยเครื่องสำอาง เครื่องแป้งร่ำ
เพื่อเป็นการเสริมเรื่องเสน่ห์ ความงดงาม บ้างก็ไหว้ด้วยกระเป๋าสตางค์
แก้วแหวนเงินทอง เพื่อให้มีความอยู่ดีกินดีมีเงินทองมากมาย
แต่ที่ขาดไม่ได้คือโคมไฟ เพื่อให้มีชีวิตชีวา สว่างไสว
มีความงดงามและผุดผ่องยองใย และต้องจัดกระดาษเงินกระดาษทองไหว้ด้วย
โดยจุดธูปไหว้ 5 ดอก หรือ 3 ดอกก็ได้
แต่ที่สุดแล้วก็ต้องทำความดีเป็นส่วนประกอบที่สำคัญด้วย
สิ่งที่หวังจึงจะสมประสงค์”... ซินแสภาณุวัฒน์แนะนำทิ้งท้าย   

“ไหว้พระจันทร์” นั้นมีตำนาน-มี “เคล็ดมงคล” แฝงอยู่   

มีเรื่องราวการ “ปลูกฝังการทำความดี” ชีวิตจึงจะดีได้!!.

วันไหว้พระจันทร์ 2554
วันไหว้พระจันทร์ 2554
วันไหว้พระจันทร์ 2554 วันที่ 12 กันยายน 
อ่านตำนานของประเพณีวันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เป็นวันไหว้พระจันทร์ของชาวจีน ซึ่งในปี2554 ตรงกับวันที่ 12 กันยายน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือขนมไหว้พระจันทร์  

ประเพณีไหว้พระจันทร์นั้นนอกจาก ประเทศไทยแล้ว ประเทศอื่นๆทั่วโลกที่มีชน ชาวจีนไปตั้งถิ่นฐาน ก็จะปฏิบัติเช่น เดียวกัน คือทุกปีในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปด ชาว จีนจะ ตั้งโต๊ะจัดของสักการะบูชาพระจันทร์ เพื่อเป็น การขอพรให้กับครอบครัวและให้กับชีวิตของ ตนเอง ของแต่ละอย่างบนโต๊ะก็จะมีความหมาย ต่างๆ กันไปหากวิธีการจัดโต๊ะของแต่ละประเทศก็ จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งของที่หาได้และผลไม้ ในประเทศที่มีซึ่งโดยปรกติก็จะไม่ฟันธงกำหนด ตายตัว หากแต่ผลไม้ที่ใช้ก็จะเน้นให้เป็นผลกลมเพื่อ ความกลมกลึงของชีวิตและหมายถึงความกลมของ พระจันทร์

55448



    แต่ที่จะขาดไม่ได้เลยคือขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งจะเป็นขนมอบใส่ไส้ผลไม้กวนหรือถั่วแดงกวน เม็ดบัว และไข่เค็มเฉพาะไข่แดง สิ่งของอย่างอื่นๆ บนโต๊ะก็จะประกอบไปด้วยสิ่งละอันพันละน้อย ที่มีความ หมายแตกต่างกันไปอย่างเข่น ขนมอี้ ซึ่งเป็นแป้งลูกกลมๆสีแดงสดใสใส่ในน้ำเชื่อมหวาน ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตที่หวานสดชื่น
    ขนมโก๋ ที่เป็นแป้งหวานสีขาว รูปทรงต่างๆ ลวดลายสวยงามเพื่อเป็นการขอผิว พรรณที่ขาวสวย ผลไม้ต่างๆ 5 ชนิดที่มีผลกลม เหมือนพรที่ขอเพื่อให้ชีวิตสุขสดชื่นรวมไปถึง ชีวิต ครอบครัวที่มีความสุขความสามัคคี ในบ้านเจดีย์น้ำตาล เป็นตัวแทนของ ปราสาทแห่งสวรรค์ถั่วหวานขนมหวาน เคลือบน้ำตาล ขนมเปี๊ยที่ มีอักษรมงคล ประทับสีแดงอยู่กลางขนม ของประดับอื่นๆ ก็จะมีกระดาษรูปเซียน 8 องค์ คำกลอนต่างๆ ในกระดาษสีแดงสดใส เทียนดอกใหญ่ สีแดงที่เขียนคำขอพรไว้ กิ่งหลิว ดอกไม้สีสัน สดสวยอ้อยต้นโตเพื่อนำมาทำ เป็นซุ้มประตู โคมไฟลวดลายงามตา การตั้งโต๊ะจะต้องตั้งให้เรียบร้อยก่อน พระจันทร์จะลอยสูงเกินขอบฟ้า และเก็บก่อนที่ พระจันทร์จะเลยหัวไปหรือเมื่อเทียนดอก ใหญ่ดับลง หันโต๊ะไปทางทิศตะวันออก

 โดยเริ่มด้วยซุ้มประตูที่ทำจากต้นอ้อยผูกโคม ไฟ ไว้กับต้นอ้อย ให้สวยงามวางกระถางธูป เทียนไว้ด้านหน้าสุด ดอกไม้วางไว้สองข้าง ขนมอี้ใส่ถ้วยแล้วแต่ พื้นที่บนโต๊ะจะอำนวย 5 - 8 ถ้วยก็ได้วางถัดมา แล้วนำ เจดีย์น้ำตาลวางไว้สองข้างถัดจาก ขนมอี้ ขนมเปี๊ยใส่ จานจัดไว้ถัดมา ใต้เจดีย์อาจนำคำกลอนในกระดาษ แดงมาวางก็ได้ผลไม้ 5 ชนิดจัดวางตาม ความ สวยงาม ต่อด้วยขนมไหว้พระจันทร์ที่จัดเป็น เรียงชั้นๆ ขนมโก๋ และขนมหวานเคลือบน้ำตาลต่างๆ รอบโต๊ะวางประดับประดาด้วยกระดาษลวดลาย ต่างๆ ที่มี อย่างไรก็ดีการจัดตั้งโต๊ะนั้นไม่ตายตัวเสมอไป แล้วแต่ใครมีวิธีการที่ ต่างกันไปเน้นความสวยงามเป็น หลักดังนั้น ใครคิดว่าจัดอย่างไรจึงสวยที่สุดก็ให้จะจัด กันตามนั้น

    ทุกวันนี้วันไหว้พระจันทร์มีความหมายที่ เปลี่ยนไปแล้ว สำหรับบางคน ในวันนี้เป็นวันที่ครอบครัว ซึ่งได้ห่างจากกันไป ลูกสาวที่แต่งออกจากบ้าน บุตรหลานที่ โยกย้ายออก ไปมีบ้านใหม่ ก็จะกลับมาเยี่ยมเยี่ยนให้พร้อม หน้าพร้อมตา กินขนมหวาน ชมพระจันทร์ในคืนที่มี ความสุกสว่างกลมโตที่สุดในรอบปี ไม่แน่คืนนี้คุณ อาจเห็นนางฟ้าผู้งดงามที่อาศัยอยู่ในพระจันทร์กำลัง มองลงมาที่คุณก็ได้

การจัดโต๊ะหมู่บูชา นำของกิน ขนมหวาน และขนมไหว้พระจันทร์มาเซ่นไหว้ พระจันทร์ ที่ในวันนี้จะสวยงามกลมใหญ่และส่งแสง สว่าง เป็นพิเศษเหมือนจะเล่าเรื่องราวของนางใน พระจันทร์ ให้แก่ลูกหลานที่เฝ้ามองความงามของ ดวงจันทร์ที่ทอแสงสาดส่องทำให้พื้นโลกได้เรืองรอง ไปด้วยแสงเหลืองนวล เรื่องราวของนางในพระจันทร์ เป็นเหมือนนิทานที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งมี หลาย Version และนี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อสมัยที่โลกยังคง มีดวงอาทิตย์ สิบดวงล้อมรอบผลัด เปลี่ยนหมุนเวียน ให้แสงสว่างและความร้อน พื้นพิภพเต็มไปด้วยจอม ยุทธ์ และผู้กล้า ผู้คน อาศัยอยู่กันอย่างสงบสุขจน ทำให้เป็นที่อิจฉาของเหล่าเซียนเทวดา และพวก เขาก็มีรู้สึกว่าผู้คนเริ่มไม่ให้ความเคารพนับถือ จึงพากันฉุดรั้ง ดวงอาทิตย์ทั้งสิบดวงให้สาดส่อง แสงอันแรงกล้าลงมายังพื้นโลกพร้อมกัน ทำให้โลก ร้อนระอุและเผาไหม้เป็นไฟ เพื่อหวังที่จะให้ผู้คน ขอร้องและกลับมาเกรงกลัวเหล่าเซียนอีกครั้ง แต่แผนการก็ต้องล้มเหลวเมื่อมีชายหนุ่มนักแม่นธน ูนาม ฮัวหยี่ อาสาที่จะช่วยเหลือโดยยิงธนูเพื่อดับ ดวงอาทิตย์และฮัวหยี่ก็ทำได้สำเร็โดยยิงดวง อาทิตย์ไปเก้าดวง เหลือดวงที่สิบไว้เพียงดวงเดียว เพื่อยังคงส่งแสงสว่างให้แก่โลก ทำให้พื้นพิภพ กลับมาสงบสุขอีกครั้งผู้คนต่างร่ำร้องสรรเสริญ ฮัวหยี่ว่าเป็นวีรบุรุษและแต่งตั้งให้เขาเป็นฮ่องเต้ แต่ก็โชคร้ายเหลือเกินอาทิตย์ดวงที่เก้าที่ เขายิงตก เป็นราชบุตรขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พระจักรพรรดิ์ แห่งสวรรค์ ซึ่งทรงกริ้วและเสียพระทัยกับการ สูญเสียราชบุตรสุดรักไป จึงสั่งให้นางกำนัลแห่งสวรรค์ นาม ฉางอี นำยาพิษไปให้ ฮัวหยี่ โดยให้หลอกว่าเป็นยา อายุวัฒนะหากกินก็จะทำให้สามารถมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ฉางอีได้รับคำสั่ง จึงนำยาไปมอบให้แก่ ฮัวหยี่ แต่เมื่อนาง เห็นหน้าชายหนุ่มก็เกิดความรักและเห็นใจ
    ฮัว หยี่ก็เช่นกันเมื่อได้เห็นความงามของ ฉางอีก็เกิด ความรักขึ้น แต่นางฉางอีก็คงส่งมอบยา ให้แก่ฮัวหยี่ตามคำสั่งที่ได้รับมาหากแต่บอกว่ายานี้ จะยัง ไม่สามารถกินได้จนถึง วันที่ 15 ค่ำเดือนแปด ด้วยความหวังว่านางอาจจะสามารถหาวิธีที่ทำ ให้เง็กเซียน ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนพระทัย หรือหาวิธีช่วย ชีวิตชายคนรักได้ นางใช้ชีวิตอยู่กับ ฮัวหยี่ถึง 7 วัน จนเมื่อถึงวันที่ 15 ค่ำตามที่นางได้กล่าวไว้กับ ฮัวหยี่ นางก็ยังคงไม่สามารถคิดหาวิธีช่วย ชีวิตฮัวหยี่ได้ ดังนั้น ในคืนวันที่ 15 ค่ำเดือนแปดก่อนที่ฮัวหยี่จะ ไว้ทันกินยาพิษ นางจึงตัดสินใจ ชิงกินยาพิษเม็ดนั้น แทนสามีสุดรัก แต่ยากลับไม่ได้ทำให้นางตาย ชั่วอึดใจนางก็รู้สึกว่าตัวของนางเบาและเริ่มล่อง ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าเบื้องบน ลอยสูงจนไปถึงดวงจันทร์ ด้วยความตื่นตระหนกนางเริ่มที่จะหายใจไม่ออก และเริ่มไอ ซึ่งทำให้ยาหลุดออกมาจากลำคอ ของนาง ด้วยนางนั้นไม่สามารถบินได้อีกนาง จึงไม่สามารถลอยกลับลงมายังโลกได้อีก นางจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในพระจันทร์นั้นเอง
    ตำนานนี้ เป็นที่เล่าขานต่อๆ กันมาและนี่คือ เหตุผลว่าทำไมชาวจีนจึงนับถือนางในพระจันทร์ กราบไหว้เพื่อให้ความดี ความงามของนางได้สาด ส่องลงมายังโลกมนุษย์ ให้เกิดความสงบสุขไป ทั่วหล้า ทำให้มนุษย์ที่เป็นหญิงได้มีรูปโฉมที่ งดงามเช่นนาง และขอให้ความดีงาม ของนางปกปักรักษา คุ้มครอง โลกมนุษย์ต่อไป

Leave a Reply

preload preload preload