บทนำ
ความหมายโดยทั่วไปของหอการค้า หมายถึง สถาบันหรือองค์กรที่รวมของพ่อค้าและนักธุรกิจผู้ประกอบการเพื่อช่วยส่งเสริม และรักษาผลประโยชน์ของผู้เป็นสมาชิก ซึ่งพ่อค้านักธุรกิจต่าง ๆ ทุกประเทศทั่วโลก ได้มีการรวมกลุ่มในลักษณะเช่นนี้ เพื่อดำเนินงานในการส่งเสริมการค้า การเกษตร การอุตสาหกรรม และการเงิน ให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจภายในประเทศ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาชิก และระบบเศรษฐกิจของชาติเป็นสำคัญ
กำเนิดหอการค้า ในโลก
หอการค้าเมืองมาแซล ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอการค้าที่จัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกของโลก เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 เนื่องมาจากการแสวงอาณานิคมเพื่อขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรป จึงได้จัดตั้งหอการค้าเพื่อโน้มน้าวให้รัฐบาลปฏิบัติตามความต้องการของพวกตน เพื่อคอยช่วยเหลือรัฐบาลในการแสวงหาอาณานิคม ในการขยายตลาดให้กว้างขวางขึ้น หอการค้าจึงมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลมาก แต่ในระยะต่อมาเมื่อพ่อค้ามองเห็นผลประโยชน์ที่ได้รับ จึงได้เข้ามาร่วมกิจกรรมของหอการค้าจนทำให้หอการค้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น และมีการขยายการจัดตั้งหอการค้าขึ้นตามเมืองต่าง ๆ ของประเทศฝรั่งเศสในระยะต่อมา
ต่อมาในปี ค.ศ. 1783 ประเทศอังกฤษได้จัดตั้งหอการค้าขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ขึ้น เป็นแห่งแรก และจัดตั้งหอการค้าเอดินเบิร์ก ขึ้น และหอการค้ากรุงลอนดอนตามลำดับ หลังจากนั้นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปต่างก็ได้จัดตั้งหอการค้าของตนเองขึ้นเช่นเดียวกันเกือบทั่วทวีป ยุโรป และได้ขยายออกไปทั่วโลก
ในประเทศแถบเอเซียเริ่มก่อตั้งหอการค้าขึ้น เนื่องจากประเทศทางทวีปยุโรปได้แสวงหาอาณานิคม และมีการขยายเศรษฐกิจอิทธิพลในทวีปเอเซียมากขึ้น เพื่อควบคุมตลาดการค้าต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศอังกฤษ เมื่อได้ประเทศใดเป็นอาณานิคม ก็มักจะจัดตั้งหอการค้าขึ้นในประเทศนั้น ประเทศในทวีปเอเซียก็เริ่มมีหอการค้าขึ้นเป็นประเทศแรกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นที่เมืองโตเกียว เมื่อปี ค.ศ.1792 และได้ขยายไปตามเมืองสำคัญเพิ่มมากขึ้นในระยะต่อมา
ระบบของหอการ ค้าในปัจจุบัน
จากแนวความคิดในการจัดตั้งหอการค้าในต่างประเทศ นับแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา จนกระทั่งปัจจุบันได้แพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจากการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการดำเนินงานหอการค้าต่าง ๆ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระบบคือ
1. หอการค้าระบบคอนติเนนตัล (Continental Model)
ระบบหอการค้านี้เป็นระบบที่มีรากฐานมาจากระบบของหอการค้าของฝรั่งเศส ต่อมาได้มีการนำระบบนี้ไปใช้ในบรรดาประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป อาทิเช่น เยอรมนี ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ และสเปน ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยมีการบังคับการเป็นสมาชิก และมีกฎหมายเฉพาะของหอการค้าในรูปของกฎหมายมหาชน (Public Law) ซึ่งกำหนดสถานะทางกฎหมายและภารกิจของหอการค้าไว้อย่างชัดเจนกล่าวคือ โดยสถานะทางกฎหมายนี้เอง ทำให้ภาครัฐสามารถมอบหมายภารกิจบางอย่างให้กับหอการค้าเป็นผู้ดำเนินการ เหมือนกับที่มอบหมายให้กับหน่วยงานของรัฐ (เช่น งานด้านการศึกษา การทดสอบความรู้ การจดทะเบียนทางธุรกิจ) โดยหลักการแล้วกฎหมายมหาชน ไม่จำเป็นต้องมีการบังคับเป็นสมาชิก แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายว่าด้วยหอการค้าภายใต้ระบบนี้ บังคับให้ผู้ประกอบการธุรกิจและนิติบุคคลที่ทำธุรกิจต่าง ๆ ภายในอาณาเขตท้องถิ่นนั้น ๆ ต้องเป็นสมาชิก และผูกพันที่จะต้องให้การสนับสนุนงบประมาณแก่หอการค้าในท้องถิ่นนั้น โดยการบังคับให้เป็นสมาชิกมีเหตุผล 3 ประการคือ 1) เพื่อเป็นการประกันว่าหอการค้าเป็นตัวแทนของธุรกิจทั้งปวง 2) เป็นการประกันว่าธุรกิจต่าง ๆ จะต้องสนับสนุนในทางการเงินแก่หอการค้า และไม่มีพฤติการณ์ในลักษณะ “ใช้บริการแล้วไม่จ่ายเงิน” 3) ทำให้มั่นใจว่าฐานของแหล่งที่มาของรายได้กว้างและมีความมั่นคงแน่นอน
นอกจากนี้ โดยกรอบของกฎหมายบังคับให้รัฐบาลจะต้องปรึกษาหารือหอการค้าก่อนที่จะออก กฎหมายหรือดำเนินการด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งหอการค้าจะต้องมีผู้แทนไปร่วมรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่ต้น ตลอดจนเข้าร่วมเป็นกรรมการของภาครัฐต่างๆ ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เกิดความมั่นใจว่าผู้กำหนดนโยบายของรัฐได้ใช้ ประโยชน์จากความรู้ ความสามารถ และความชำนาญของภาคธุรกิจอย่างแท้จริง สำหรับในเรื่องการกำหนดอาณาเขตของหอการค้าภายใต้ระบบคอนติเนนตัล ได้กำหนดให้มีหอการค้าเพียง 1 หอการค้า ในแต่ละเมืองหรือเขตนั้น ๆ
คุณสมบัติพิเศษของระบบนี้ก็ คือ หอการค้ามีภารกิจที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามที่กฎหมายระบุ ไว้ โดยภาครัฐจะมอบหมายงานบางประการให้หอการค้าเป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากเป็นสถาบันที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตามบริการบางอย่างที่ได้ระบุไว้ในกฎหมายที่บังคับให้หอการค้าต้อง ดำเนินการ หอการค้ายังสามารถเพิ่มเติมงานด้านบริการสมาชิกตราบใดที่อยู่ภายในใต้ขอบเขต ภารกิจของหอการค้า
มีข้อสังเกตว่า ภายใต้หอการค้าระบบนี้ แม้จะมีบทบัญญัติของกฎหมายให้บริษัท ห้าง ร้าน ตลอดจนผู้ประกอบธุรกิจอิสระจะต้องเป็นสมาชิกหอการค้า ซึ่งจะทำให้หอการค้ามีแหล่งรายได้ที่แน่นอนมั่นคง และสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัวก็ตาม แต่อาจมีผลต่อประสิทธิภาพในการให้บริการหรือการตอบสนองความต้องการของบรรดา สมาชิกได้ โดยสมาชิกไม่มีสิทธิที่จะลาออกได้แม้จะไม่พอใจในบริการของหอการค้าที่สังกัด อยู่ก็ตาม เนื่องจากถูกบังคับให้ต้องดำรงสมาชิกภาพและจ่ายค่าสมาชิกตลอดไป
2. หอการค้าระบบแองโกล แซกซอน (Anglo - Saxon Model)
หอการค้าระบบแองโกลแซกซอน เป็นอีกระบบหนึ่งที่แตกต่างจากระบบคอนติเนนตัล ได้ริเริ่มในประเทศอังกฤษ เนื่องจากประเทศอังกฤษเป็นระบบการค้าและเศรษฐกิจแบบเสรี รัฐบาลปล่อยให้ภาคธุรกิจดูแลตัวเอง โดยไม่มีการแทรกแซงการประกอบกิจการของเอกชน จากแนวคิดพื้นฐานดังกล่าว จึงมิได้มีการออกกฎหมายแทรกแซงการประกอบกิจการของเอกชน จากแนวคิดพื้นฐานดังกล่าว จึงมิได้มีการออกกฎหมายควบคุมการจัดตั้งหอการค้าเป็นการเฉพาะขึ้น ดังนั้นการจัดตั้งหอการค้าจึงกระทำได้ โดยการจดทะเบียนภายใต้กฎหมายเอกชน (Private Law) เช่นเดียวกับการจดทะเบียนของสมาคมโดยทั่วไป
สำหรับระบบสมาชิก ก็เป็นระบบสมัครใจ (Voluntary) และไม่มีการกำหนดอาณาเขตที่ตั้งของหอการค้าแต่ประการใด รวมทั้งไม่มีการบังคับให้หอการค้าจะต้องดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ไม่ต้องตอบสนองงานของราชการ ดังเช่นในกรณีของกฎหมายมหาชน จากเหตุผลดังกล่าว หอการค้าจะทำกิจกรรมอย่างไรก็ได้ตามความต้องการของสมาชิก จะเห็นได้ว่าภายใต้ระบบนี้ ทำให้หอการค้าอยู่ในสภาวะการณ์ของการแข่งขัน แย่งชิงสมาชิกกันเอง เนื่องจากพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง อาจจะมีการจัดตั้งหอการค้าได้มากกว่าหนึ่งหอการค้า หรือในบางพื้นที่อาจไม่มีหอการค้าเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้ประกอบการเลย ก็ได้
3. หอการค้าระบบผสม (Mixed System)
หอการค้าระบบผสมเป็นอีกระบบ หนึ่งที่รวมคุณสมบัติเฉพาะของทั้ง 2 ระบบดังกล่าวข้างต้น โดยการจัดตั้งองค์กรในระบบใดระบบหนึ่ง และใช้องค์ประกอบของระบบการบริหารหอการค้าในอีกระบบหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ระบบนี้ อาทิ ญี่ปุ่น และไทย ฯลฯ ซึ่งมีสถานะกฎหมายเป็นกฎหมายมหาชน แต่เป็นสมาชิกโดยความสมัครใจ
ลักษณะของหอการ ค้า
ปัจจุบัน หอการค้าในทั่วโลกสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. หอการค้าประจำเมือง / หอการค้าจังหวัด (Provincial Chamber of Commerce) เป็นหอการค้าตั้งขึ้นมาตามเมืองต่าง ๆ โดยมีสมาชิกเป็นบริษัท ห้าง ร้าน ที่มีภูมิลำเนาในเมืองนั้น ๆ โดยชื่อของหอการค้ามักตั้งขึ้นตามชื่อของเมืองนั้น ๆ เช่น หอการค้ากรุงลอนดอน หอการค้าโอซาก้า หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
2. หอการค้าประจำชาติ หรือหอการค้ากลาง (National Chamber of Commerce) จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหอการค้าจังหวัด 3 ประการ คือ 1) จะตั้งอยู่ในนครหลวงของประเทศ 2) ในแต่ละประเทศจะมีเพียงหนึ่งหอการค้า และ 3) จะรับสมาชิกเฉพาะหอการค้าประจำเมือง หรือหอการค้าจังหวัด หรือสมาคมการค้าโดยไม่รับสมาชิกที่เป็นบริษัท ห้าง ร้าน เช่น หอการค้าอุตสาหกรรมและการค้าแห่งประเทศเยอรมัน หอการค้าและอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น (The Japan Chamber of Commerce and Industry) เป็นต้น
3. หอการค้าต่างประเทศ (Foreign Chamber of Commerce) ตั้งขึ้นโดยชาวต่างประเทศที่เข้าไปประกอบการค้าขาย หรือดำเนินธุรกิจอยู่ในต่างประเทศ โดยมีการรวบรวมบริษัท ห้าง ร้านต่าง ๆ ที่มีสัญชาติเดียวกัน จัดตั้งหอการค้าประเทศของตนขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของสมาชิกที่เข้าไป ประกอบวิสาหกิจในประเทศนั้น ๆ ซึ่งสมาชิกสามารถขอรับบริการต่าง ๆ ได้ เช่น หอการค้าเยอรมัน – ไทย , หอการค้าอเมริกัน - ไทย ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย เป็นต้น
4. หอการค้าระหว่างประเทศ หรือ หอการค้านานาชาติ (International Chamber of Commerce) จัดตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1919 โดยนักธุรกิจชั้นนำจากประเทศเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส อิตาลี สหราชอาณาจักร และอเมริกา ซึ่งปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางของนักธุรกิจจากทั่วโลก ประกอบด้วยสมาชิกมาจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งมาจากวิสาหกิจทางด้านอุตสาหกรรมการเงิน การธนาคาร การขนส่ง การประกันภัย สมาคมการค้า หอการค้า รวมทั้งนักธุรกิจทั่วไปเพื่อเป็นตัวแทนในการส่งเสริมวิสาหกิจของภาคเอกชน และการค้าของทั่วโลก ให้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง โดยได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศจากประเทศต่าง ๆ เพื่อหาทางลดหรือหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอุปสรรคทางการค้า
หอการค้าในประเทศไทย
ศุกร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
ประเภท ของหอการค้า
1. หอการค้าไทย ก่อตั้งโดยพ่อค้าไทยกลุ่มหนึ่งที่มีประสบการณ์ ได้มีแนวความคิดที่จะจัดตั้งหอการค้าขึ้นเช่นเดียวกับต่างประเทศ เพื่อเป็นองค์กรกลางในการอำนวยประโยชน์ให้แก่พ่อค้าและนักธุรกิจไทย โดยทำหน้าที่ประสานงานระหว่างภาครัฐบาลและเอกชน อีกทั้งร่วมมือกันส่งเสริมการค้าและปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยเจริญ รุ่งเมืองทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ จึงได้จัดตั้งองค์กรหอการค้าไทย โดยจดทะเบียนในรูปของสมาคมขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2476
ต่อมาในปี พ.ศ.2506 ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2510 – 2514) ได้พิจารณาเห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ลุล่วงไปด้วยดีได้นั้น รัฐบาลจะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เพื่อจะทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น รัฐบาลในสมัยนั้น จึงได้มีการจัดทำโครงสร้างของสถาบันภาคเอกชนขึ้นใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นสถาบันที่จะสามารถร่วมมือกับภาครัฐในการดำเนินการ ตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รองรับการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันภาคเอกชนขึ้น ทั้งระดับชาติ และระดับจังหวัด โดยตราเป็น พระราชบัญญัติ เรียกว่า พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 และหอการค้าไทยได้จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ เมื่อมีนาคม 2509
ตามพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 ได้ให้ความหมายของ “หอการค้า” ว่าคือสถาบันที่บุคคลหลายคนจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้า อุตสาหกรรม การเงิน หรือเศรษฐกิจ อันมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 ยังได้แบ่งหอการค้าออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) หอการค้าไทย 2) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 3) หอการค้าจังหวัด 4) หอการค้าต่างประเทศ
2. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นสถาบันทางการค้าที่เป็นศูนย์รวมของสมาคม การค้า และหอการค้าต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ สหกรณ์ ซึ่งมีบทบาทและการดำเนินงานให้แก่สมาชิกและเศรษฐกิจของประเทศ ตามพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 และมาตรา 24 (4) ได้ระบุให้ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยโดยตำแหน่งด้วย
3. หอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพ่อค้า นักธุรกิจของชาวต่างประเทศที่เข้ามาประกอบวิสาหกิจในประเทศไทย หอการค้าต่างประเทศในประเทศไทยมีมานานแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2441 โดยชาวยุโรป ซึ่งเข้ามาทำการค้าขายกับประเทศไทย ต่อมาได้มีหอการค้าจีนเกิดขึ้น และหอการค้าชาติอื่น ๆ ก็ตั้งขึ้นตาม เพื่อที่จะส่งเสริมและรักษาผลประโยชน์ของมวลสมาชิกในสังกัดหอการค้านั้น ๆ หอการค้าต่างประเทศนี้ เป็นสถาบันการค้าเอกชนที่มีสมาชิกถือสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง และตามมาตรา 14 ในพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 ได้ระบุไว้ว่า หอการค้าต่างประเทศจะจัดตั้งขึ้นและดำรงอยู่ได้เพียงสัญชาติละหนึ่งหอฯ เฉพาะแต่ในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น และต้องเป็นสมาชิกสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยทุกหอฯ ด้วย ปัจจุบันมีหอการค้าต่างประเทศจำนวน 50 หอการค้าด้วยกัน
4. หอการค้าจังหวัด คือ หอการค้าประจำจังหวัด เป็นศูนย์รวมของผู้ประกอบการวิสาหกิจในจังหวัดนั้น ๆ และต้องเป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย หรือบุคคลที่มีบุคคลสัญชาติไทยเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นเกินกึ่งจำนวนเงิน ทุนของนิติบุคคลนั้น และเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจในทางการค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การเงิน หรือเศรษฐกิจ หรือต้องเป็นสมาคมการค้าที่มีสมาชิกซึ่งมีสัญชาติไทยเกินกึ่งจำนวนของสมาชิก ทั้งหมด หรือต้องเป็นรัฐวิสาหกิจหรือสหกรณ์ หอการค้าจังหวัดจะต้องเป็นสมาชิกของหอการค้าไทยด้วย ซึ่งนับตั้งแต่รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2509 เป็นต้นมา การจัดตั้งหอการค้าจังหวัดได้เริ่มขึ้นในปี 2510 โดยมีหอการค้าจังหวัดที่จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก 2 หอการค้า ได้แก่ หอการค้าจังหวัดชลบุรี และหอการค้าจังหวัดเชียงราย
หอการค้าจังหวัดเริ่มขยายจำนวนอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2520 และจนกระทั่งในปี พ.ศ.2524 ซึ่งเป็นช่วงเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาและอุปสรรคทางด้านเศรษฐกิจหลายด้าน รัฐบาลในขณะนั้น (ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี) ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการระดมความร่วมมือจากภาคเอกชนเข้ามาสู่กระบวนการ พัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น จึงกำหนดเป็นแนวนโยบายของรัฐในการสนับสนุน และส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการเข้าร่วมแก้ไขปัญหาและพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน และได้มีมติคณะรัฐมนตรีจัดตั้ง “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.)” โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกรรมการจากภาคเอกชนประกอบไปด้วย ผู้แทนจากสถาบันภาคเอกชน คือ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย
ผลจากความร่วมมือดังกล่าว จึงได้แนวคิดขยายความร่วมมือออกไปสู่ภูมิภาค รัฐบาลจึงได้กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525 – 2529) ให้ภาคเอกชนในระดับจังหวัดรวมตัวจัดตั้งสถาบันภาคเอกชน คือ หอการค้าจังหวัด ขึ้นให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นตัวแทนภาคเอกชน ในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐบาล ภายใต้คณะกรรมการ กรอ. จังหวัด ทำให้มีการจัดตั้งหอการค้าจังหวัดขึ้นในช่วงดังกล่าวจนครบในปี 2530 และครบ 75 จังหวัด ในปี พ.ศ.2537 โดยมีสถิติการจัดตั้งหอการค้าจังหวัด ดังนี้
สถิติ การจัดตั้งหอการค้าจังหวัด
ศุกร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
สถิติการจัดตั้งหอการค้า จังหวัด
ปีที่ได้รับอนุญาต | จำนวน | หอการค้าจังหวัด |
พ.ศ. 2510 | 2 | ชลบุรี, เชียงราย |
พ.ศ. 2520 | 1 | เชียงใหม่ |
พ.ศ. 2521 | 1 | หนองคาย |
พ.ศ. 2523 | 2 | ชัยภูมิ, นครราชสีมา |
พ.ศ. 2524 | 2 | แพร่, อ่างทอง |
พ.ศ. 2525 | 2 | ร้อยเอ็ด, นครสวรรค์ |
พ.ศ. 2526 | 5 | สุราษฎร์, ภูเก็ต, ระนอง, นครศรีธรรมราช, สงขลา |
พ.ศ. 2527 | 23 | อุดรธานี, ลำปาง, น่าน, พิษณุโลก, บุรีรัมย์, อุทัยธานี, ประจวบคีรีขันธ์, กำแพงเพชร, ตาก, สกลนคร, กาญจนบุรี,สมุทรสาคร, ขอนแก่น, พระนครศรีอยุธยา, ระยอง, สระบุรี,ยะลา, อุตรดิตถ์, จันทบุรี, นราธิวาส, ปัตตานี, เลย, ยโสธร |
พ.ศ. 2528 | 19 | สมุทรปราการ, กระบี่, สุรินทร์, ปทุมธานี, ราชบุรี, เพชรบุรี, สุพรรณบุรี, พะเยา, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา,สมุทรสงคราม, นนทบุรี, นครนายก, ตราด, กาฬสินธุ์, มหาสารคาม, ลพบุรี, ปราจีนบุรี, อุบลราชธานี |
พ.ศ. 2529 | 14 | สุโขทัย, ลำพูน, สตูล, ศรีสะเกษ, พังงา, เพชรบูรณ์, ชัยนาท, พัทลุง, นครพนม, สิงห์บุรี, แม่ฮ่องสอน, มุกดาหาร, ตรัง, พิจิตร |
พ.ศ. 2530 | 4 | ชุมพร |
พ.ศ. 2537 | 3 | สระแก้ว, อำนาจเจริญ, หนองบัวลำภู |
|
|
|
รวม | 75 |
|
สถานะ ทางกฎหมาย - การก่อตั้ง
หอการค้าแต่ละประเภทมีสถานะทางกฎหมาย เป็น “นิติบุคคล” / สามารถจัดตั้งได้เพียง จังหวัดละ 1 หอการค้าเท่านั้น
การดำเนินงานของหอการค้า
ให้มีคณะกรรมการชุดหนึ่ง ซึ่งเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่สามัญสมาชิกมีจำนวนตามที่กำหนดในข้อบังคับ และทำหน้าที่เป็น “ผู้แทน” หอการค้าในการดำเนินกิจกรรมกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้ คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนใดคนหนึ่ง หรือหลายคนทำการแทนได้
การควบคุมการดำเนินงานของหอการค้า
ในส่วนกลาง กฎหมายได้กำหนดให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กรมการค้าภายใน) กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ควบคุมดูแล สำหรับในส่วนภูมิภาค สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าภายในจังหวัดเป็นผู้ควบคุมดูแล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นนายทะเบียนหอการค้าจังหวัด
ภารกิจของหอการค้า
ศุกร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
ตามพระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 มาตรา 28 ได้กำหนดให้หอการค้าทุกประเภทมีหน้าที่เช่นเดียวกันคือ ทำหน้าที่ส่งเสริม การเป็นที่ปรึกษา แนะนำ และอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจของสมาชิก การให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ รวมทั้งการประสานงานในด้านการค้า เป็นต้น ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวสามารถจำแนกได้ดังนี้
1. ส่งเสริมการค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การเงิน และเศรษฐกิจทั่วไป ในการส่งเสริมวิสาหกิจด้านต่าง ๆ ของหอการค้าอาจจะทำได้ในหลายลักษณะกล่าวคือ
1.) การรวบรวมสถิติ และข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ
2.) การเผยแพร่ข่าวสารการค้าทางเศรษฐกิจ
3.) วิจัยเกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจ
4.) ส่งเสริมการท่องเที่ยว
5.) การออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า
6.) การวางมาตรฐานแห่งคุณภาพของสินค้าและการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้า
7.) การจัดตั้งและดำเนินการสถานศึกษาเกี่ยวกับการค้าและเศรษฐกิจ
8.) พิพิธภัณฑ์สินค้า
9.) จัดงานแสดงสินค้า
10.) การเป็นอนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาททางการค้า
2. รับปรึกษาและให้ข้อแนะนำแก่สมาชิก เกี่ยวกับการค้า อุตสาหกรรม เกษตรกรรมการเงินหรือเศรษฐกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจของสมาชิก
3. ประสานงานในทางการค้าระหว่างผู้ประกอบการค้ากับส่วนราชการ
4. ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยผ่านช่องทาง / กระบวนการ กรอ. จังหวัด ,คณะกรรมการระดับจังหวัด หรือ กระทรวง / ทบวง / กรม และรัฐบาลโดยตรง |
การจัดองค์กรภายในหอการค้า
ศุกร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
บุคลากรหอการค้า
บุคลากรของหอการค้าจังหวัดจะมี 2 ระดับได้แก่
1.) คณะกรรมการหอการค้าซึ่งเป็นผู้อาสาสมัครเข้ามาทำงานแทนสมาชิก โดยมิได้มุ่งหวังผลประโยชน์เป็นค่าจ้างตอบแทน จำนวนและตำแหน่งตามข้อบังคับของแต่ละจังหวัด
2.) เจ้าหน้าที่ประจำ เพื่อทำหน้าที่เป็น ผู้ปฏิบัติตามนโยบายของคณะกรรมการ หรือข้อเรียกร้องของสมาชิก รวมไปถึงทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกรรมการ สมาชิก และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังจะทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่หอการค้าจัดขึ้นด้วย
สำนักงาน / สำนักเลขาธิการหอการค้าจังหวัด
สำนักงาน/สำนักเลขาธิการหอการค้าจังหวัด หมายถึง สถานที่ที่จะใช้ดำเนินกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของการพบปะสนทนา ประชุม ตลอดจนให้บริการข้อมูลข่าวสารถึงสมาชิก กรรมการ รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนโดยทั่วไป ทั้งนี้ควรเป็นสถานที่ที่ทุกฝ่ายสามารถติดต่อได้สะดวก
แนวทางในการหารายได้ของหอการค้าจังหวัด
เนื่องจากหอการค้าเป็นองค์กรไม่มุ่งแสวงกำไร (Non Profit Organization) การหารายได้ของหอการค้าจังหวัด เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการดำเนินงานของหอการค้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร โดยมุ่งที่จะส่งเสริมธุรกิจการค้าในด้านต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาอุปสรรคให้กับสมาชิก การดำเนินการของหอการค้าดังกล่าว จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างแน่นอน ดังนั้น หอการค้าจังหวัดจะต้องหารายได้เพื่อนำมาใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ แนวทางการหารายได้ของหอการค้าสามารถดำเนินการดังนี้
1. รายได้จากค่าบำรุงสมาชิก ซึ่งจะมีการจัดเก็บเป็นรายปี
2. รายได้จากการจัดกิจกรรม เช่น การจัดอบรมสัมมนา การจัดงานแสดงสินค้า การจัดทำวารสาร การจัดทัศนศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมจะต้องอาศัยความร่วมมือ เสียสละ ประกอบกับความขยันขันแข็งและความตั้งใจจริงของคณะกรรมการ รวมไปถึงความพร้อมของสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น หรือของจังหวัดนั้น ๆ ด้วย
3. การจัดตั้งสถาบันการศึกษา กฎหมายได้เปิดโอกาสให้หอการค้าจังหวัดสามารถจัดตั้งสถาบันการศึกาได้ และสามารถนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็นทุนในการดำนินงานของหอการค้าจังหวัด หอการค้าจังหวัดที่จัดตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นขณะนี้มีอยู่ 2 แห่ง คือ หอการค้าไทย ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหอการค้าจังหวัดเชียงราย ได้จัดตั้งโรงเรียนพาณิชยการเชียงราย
4. รายได้จากงานในหน้าที่ รายได้ประเภทนี้ได้จากการที่กฎหมายได้ให้อำนาจหน้าที่ หอการค้า เช่น การออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า รับรองเอกสารอื่น ๆ การตรวจสอบคุณภาพสินค้า หรือรับรองมาตรฐานสินค้า งานในลักษณะนี้ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการส่งออก
กล่าวโดยสรุป หอการค้าจังหวัดใดมีกิจกรรมมาก กิจกรรมนั้นเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมมาก ก็จะได้รับการยอมรับจากสมาชิกและบุคคลจากวงการต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และจำนวนสมาชิกและประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้ ตั้งเอาไว้ |
บทบาทของหอการค้าจังหวัดในปัจจุบัน
ศุกร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
หอการค้าจังหวัดเป็นสถาบันนิติบุคคลตามกฎหมาย มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าของจังหวัด เป็นแกนกลางที่สำคัญของนักธุรกิจในจังหวัด เป็นที่รวมของผู้ประกอบวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แก่ การค้า อุตสาหกรรม การเงิน และเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นตัวแทนที่มีบทบาทในการเจรจาต่อรองทำความตกลงทางการค้า อันเป็นการรักษาประโยชน์ทางการค้าร่วมกันของจังหวัด และมีหน้าที่ส่งเสริมในภาควิชาการเกี่ยวกับการค้าให้พ่อค้าในจังหวัด ตลอดจนเผยแพร่แลกเปลี่ยนทัศนะในด้านเศรษฐกิจการค้าของจังหวัดให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้น เกิดความสามัคคีและความเข้าใจอันดีต่อกัน เกิดความสำนึกในคุณค่าของตัวเองที่มีต่อสังคม ลดความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนโดยเสียสละให้ส่วนรวม ซึ่งเป็นพื้นฐานอันหนึ่งของความเจริญก้าวหน้าก่อให้เกิดความมั่นคงในชาติ
หอการค้าจังหวัด เป็นองค์กรสำคัญของสถาบันธุรกิจเอกชน สามารถแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศ โดยมีส่วนช่วยในการเป็นแหล่งข้อมูลทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด และมีบทบาทในการกระตุ้นความเจริญก้าวหน้าของท้องถิ่นและจังหวัด ตลอดจนอำนวยประโยชน์ให้แก่สมาชิกของหอการค้าจังหวัดได้
ดังนั้นบทบาทของหอการค้าจังหวัดที่สำคัญ จึงสรุปได้ดังนี้
1. บทบาทในการปรับปรุง (Improve) แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการค้าในส่วนรวมของจังหวัด หรือท้องถิ่น
2. บทบาทในการส่งเสริม (Promote) เพื่อที่จะให้การค้าขายของท้องถิ่นนั้น หรือจังหวัดนั้นเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทันกันวิวัฒนาการของประเทศหรือของโลก
3. บทบาทในการรักษาผลประโยชน์ (Protect) ทางการค้าของสมาชิกและผลประโยชน์โดยส่วนรวมของจังหวัด
4. บทบาทในการพัฒนา (Development) โดยการศึกษาวิเคราะห์เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาจังหวัด ในรูปแบบที่จะอำนวยประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน ซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าของท้องถิ่นอย่างมีระบบและประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นบทบาทของหอการค้าฯ ในปัจจุบัน เป็นที่คาดหวังจากสังคม และส่วนราชการมากขึ้น นอกจากการให้บริการสมาชิกและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดแล้ว ยังต้องการให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัดในมิติอื่นอีก ทั้งด้านสังคม การศึกษา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม โดยการประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับ อันเป็นการขยายบทบาทของหอการค้าฯ ที่กว้างขวางขึ้น เนื่องจากในปัจจุบัน เกือบทุกปัญหามีการเชื่อมโยงกันในหลายภาค
32 ปี หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่
ศุกร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ได้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2520 ภายใต้พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ.2509 ที่จะส่งเสริมให้พ่อค้า นักธุรกิจ และนักอุตสาหกรรม รวมตัวกันเป็นสถาบันการค้า เพื่อส่งเสริมให้เป็นนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ที่มีมาตรฐาน ทั้งทางด้านวิชาการ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเพื่อให้เป็นสถาบันที่เป็นตัวแทนปกป้อง รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมภายในจังหวัด ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนการค้าในระดับจังหวัด ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเมื่อปี พ.ศ.2519 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น ฯพณฯ อบ วสุรัตน์ ได้ขึ้นมาแนะนำ และชักชวนให้นักธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ขึ้น โดยได้ยื่นขอจดทะเบียนก่อตั้ง และได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนหอการค้าประจำจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2520 ให้เป็นหอการค้าจังหวัดตามกฎหมาย
หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ มีบทบาทและหน้าที่ในการเป็นศูนย์รวมข้อมูลทางด้านการค้า การลงทุน ทั้งภายในและต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ อำนวยความสะดวกสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของสมาชิก และบทบาทในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยส่วนรวม รวมทั้งมีบทบาทในการเป็นองค์กรทางการค้า ให้การต้อนรับพบปะนักลงทุนและผู้แทนการค้า ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำหน้าที่ และดำรงบทบาทส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสมาชิก เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมอันก่อประโยชน์แก่ภาคเศรษฐกิจของท้องถิ่นมาอย่างต่อ เนื่อง ทั้งในด้านการมีบทบาทในนโยบายสาธารณะ และด้านการจัดกิจกรรมหรือโครงการสนับสนุน โดยมีคณะกรรมการบริหาร สานต่อเจตนารมณ์มาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันรวม 16 สมัย นับเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งทำให้หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ มีพัฒนาการและความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาโดยลำดับ ดังนี้
การบริหารงานสมัยที่ 1 พ.ศ. 2520 - 2522
การบริหารงานสมัยที่ 2 - 3 พ.ศ. 2523 - 2526
การบริหารงานสมัยที่ 4 - 5 พ.ศ. 2527 - 2530
การบริหารงานสมัยที่ 6 พ.ศ. 2531 - 2532
การบริหารงานสมัยที่ 7 พ.ศ. 2533 - 2534
การบริหารงานสมัยที่ 8 - 9 พ.ศ. 2535 - 2537
การบริหารงานสมัยที่ 10 - 11 พ.ศ. 2538 - 2541
การบริหารงานสมัยที่ 12 พ.ศ. 2542 - 2543
การบริหารงานสมัยที่ 13 พ.ศ. 2544 - 2545
การบริหารงานสมัยที่ 14 พ.ศ. 2546 – 2547
การบริหารงานสมัยที่ 15 พ.ศ. 2548 - 2549
การบริหารหอการค้าสมัยที่ 16 พ.ศ. 2550 - 2551
พันธกิจ นโยบาย และแผนการดำเนินงาน
ศุกร์ ที่ 29 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2552
|
|
พันธกิจ นโยบาย และแผนการดำเนินงาน
หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่
สมัยที่ 17 ประจำปี 2552-2553
หอการค้าจังหวัด เชียงใหม่ในฐานะที่เป็นองค์กรตัวแทนของภาคเอกชนทางธุรกิจ และเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดระยะเวลา 32 ปี ที่ผ่านมา หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ได้ทำหน้าที่ และดำรงบทบาทส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสมาชิก ตลอดจนสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของจังหวัดมาอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการมีบทบาทในนโยบายสาธารณะ และการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยมีคณะกรรมการบริหารสานต่อเจตนารมย์ของผู้ร่วมก่อตั้งมาถึง 17 สมัย ซึ่งปัจจุบันองค์กรหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ได้เติบโต และพัฒนาการทั้งในด้านองค์กร และบุคลากร เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิก และสังคมของจังหวัดเชียงใหม่อย่างเข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่จะพัฒนาและก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การดำเนินงานของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ในระยะ 2 ปี จึงจะมุ่งเน้นใน 5 พันธกิจหลัก คือ
1. เสริมสร้างหอการค้าฯ ให้เข้มแข็ง โดยการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ทั้งในส่วนที่เป็นกรรมการและเจ้าหน้าที่ โดยใช้หลักการทำงานที่มุ่งสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์- พันธกิจ โดยพัฒนากระบวนการทำงานที่ชัดเจน มีการสื่อสารที่ดี ตลอดจนสร้างบรรยากาศของความร่วมมือภายในองค์กร โดยมุ่งเน้นการทำโครงการที่สอดคล้องทั้งพันธกิจ มิติทางการเงิน และ การพัฒนาเครือข่าย
2. ร่วมแรงฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ถดถอยและอยู่ในภาวะวิกฤติในปัจจุบัน การกระตุ้นเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ เป็นภารกิจแร่งด่วน ที่หอการค้าฯ ให้ความสำคัญ โดยจะเน้นการนำเสนอ ประเด็นยุทธศาสตร์ และโครงการที่แก้ไขปัญหาเชิงรูปธรรมได้ให้แก่ภาครัฐฯ พร้อมกับขยายโอกาสการเข้าถึงความช่วยเหลือภาครัฐ โดยให้ครอบคลุมภาคเศรษฐกิจที่เป็นหัวใจของจังหวัด ได้แก่ด้านการท่องเที่ยว การเกษตร ธุรกิจบริการสุขภาพ และ การค้าการลงทุน
นอกจากนี้ หอการค้าฯ ยังจะได้ผลักดันโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงใหม่ และ กลุ่มจังหวัดในภาคเหนือตอนบน ในระยะยาว ได้แก่การลงทุนก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ และการพัฒนาการขนส่งระบบราง ตลอดจนการพัฒนาระบบการจัดการด้าน Logistic เพื่อให้สามารถรแข่งขันในตลาดระหว่างประเทศได้
3. สนับสนุนมวลหมู่สมาชิก การสนับสนุนสมาชิกเป็นเป้าประสงค์หลักของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้นยุทธศาสตร์และโครงการของหอการค้าฯ จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกในภาพรวม หอการค้าฯ จะสนับสนุนให้สมาชิกผนึกกำลังเป็นเครือข่ายความร่วมมือ (Cluster) ของภาคธุรกิจในจังหวัด ตลอดจนสนับสนุนสมาชิกในการพัฒนาขีดความสามารถ โดยการจัดการอบรม สัมมนาให้ความรู้ ทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ การเงิน และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการ
4. ร่วมมือองค์กรพันธมิตร หอการค้าฯ ตระหนักดีว่า การดำเนินการตามพันธกิจต่างๆ ไม่อาจสำเร็จได้โดยองค์กรหอการค้าฯ เพียงลำพัง จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากองค์กรพันธมิตร ใน 3 ภาคส่วนได้แก่ ภาครัฐ ภาคสถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ที่จะทำงานประสานกันเป็นเอกภาพในการดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยในภาครัฐฯนั้น หอการค้าฯ จะเป็นเหมือนที่ปรึกษา ที่คอยชี้แนะ และสนับสนุนการทำงานร่วมกันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ในภาคการศึกษา หอการค้าฯให้ความร่วมมือในการแจ้งความต้องการในการใช้บุคคลากรของภาคธุรกิจ และสำหรับพันธมิตรภาคเอกชน หอการค้าฯจะให้ความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับ พันธกิจร่วมกัน
5. ประสานแนวคิด เชียงใหม่นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง (City of Life and Prosperity) เพื่อให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่ให้ความสุข งดงามด้วยวัฒนธรรมล้านนา และมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สร้างชีวิตที่มีคุณค่าแก่ผู้อยู่อาศัย และผู้มาเยือน ในฐานะเมืองที่น่าอยู่ และน่าท่องเที่ยวในระดับเอเชีย พร้อมกับเป็นประตูการค้าการลงทุนสู่สากล
โดย คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ สมัยที่ 17 ประจำปี 2552-2553 จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า “หอการค้าฯ มุ่งมั่นสู่ความเป็นองค์กรภาคเอกชนที่เข้มแข็ง” โดยมีนโยบายที่ได้กำหนดไว้ 5 ด้าน ดังนี้
นโยบายที่ 1 เสริมสร้างหอการค้าฯ ให้เข้มแข็ง มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของบุคลากร มีผลงานที่ชัดเจน มีความเข้มแข็งทางการเงิน ด้วยความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วม เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกและสังคม โดยมุ่งมั่นสู่องค์กรภาคเอกชนที่เข้มแข็ง
แนวทาง และแผนการดำเนินงาน
1. การสร้างความเข้มแข็งของบุคลากรของหอการค้าในทุกระดับ อันได้แก่
• คณะกรรมการ โดยการสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมกับสรรหาและอบรมคณะกรรมการรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
• การเชิญที่ปรึกษา – บุคลากรที่มีศักยภาพขององค์กรมาร่วมสนับสนุนการทำงานของหอการค้าฯ
• เจ้าหน้าที่หอการค้าฯ มีการจัดโครงสร้างบุคลากรที่เหมาะสมกับปริมาณงาน ทั้งด้านงานประจำ และงานโครงการ , การจัดสวัสดิการที่เหมาะสม และการสรรหาอุปกรณ์ –เครื่องมือที่ทันสมัยมาอำนวยความสะดวกในการทำงาน
2. การยึดหลักการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นผลงานที่ชัดเจน โดยมีการวิเคราะห์โครงการให้สอดคล้องกับพันธกิจ-ยุทธศาสตร์ของหอการค้าฯ รวมถึงแผนงบประมาณ/บุคลากร ซึ่งจะมีการกระจายงานความความสามารถ ความพร้อม และการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (Dream Team) พร้อมกับการเผยแพร่บทบาท และผลงานของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ออกสู่สาธารณชนมากขึ้น โดยการพัฒนาช่องทางการประชาสัมพันธ์ของหอการค้า พร้อมกับแสวงหาช่องทางในการประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ๆ
3. สร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้แก่หอการค้า โดยการดำเนินกิจกรรมที่สร้างรายได้ให้หอการค้าฯ เป็นประจำทุกปี และดำเนินกิจกรรมที่ไม่เป็นภาระทางการเงินกับหอการค้าฯ นอกจากนั้นจะได้แสวงหาช่องทางความร่วมมือ – ดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน องค์กรทั้งใน และต่างประเทศ
4. ปรับปรุงกระบวนการบริหาร-จัดการ โดยเน้นคุณภาพ - มาตรฐานในการให้บริการแก่สมาชิก และสังคม เพื่อให้ได้รับการยอมรับในการเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ยอดเยี่ยม
5. ปรับองค์กรให้เป็นศูนย์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ เพื่อทำหน้าที่ชี้ทิศทาง และให้คำปรึกษาแก่สมาชิก
นโยบายที่ 2 ร่วมแรงพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงรูปธรรม สร้างความแข็งแกร่งภาคเอกชนที่มีศักยภาพ ชูการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดและผลักดันลงทุนภาครัฐที่กระตุ้นเศรษฐกิจภาพ รวม และการมุ่งหาตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
แนวทางและแผนการดำเนินงาน
1. ร่วมกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัด และส่วนรวมในทุกเวที ทั้งทางด้าน การท่องเที่ยว, เกษตร – เกษตรอุตสาหรรม ,ระบบโลจิสติกส์ อันเป็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัด
2. การเป็นเจ้าภาพหลักในการผลักดันยุทธศาสตร์ Logistic ของจังหวัดโดยมีเป้าหมายให้เกิดโครงการบริหารจัดการระบบ Logistic เชียงใหม่(Chiang Mai Logistic Housing Bureau) หรือ โลจิสติกส์พาร์คในอนาคต โดยผ่านโครงการด้านการพัฒนาบรรจุหีบห่อ ,การสร้างเครือข่าย,ฐานข้อมูล และการพัฒนาบุคลากร
3. การจัดโครงการที่ส่งเสริมการค้า การลงทุนของจังหวัด ได้แก่ โครงการจัดงานขับเคลื่อนพลังเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ หรือ GMS Expo และการจัด Roadshow ไปยังประเทศกลุ่มเป้าหมายหรือเป็นเมืองพี่เมืองน้องของจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงหอการค้าคู่มิตร เช่น หอการค้าฯ ลียง ประเทศฝรั่งเศส, หอการค้า และสภาอุตสาหกรรมมณฑลยูนนาน, กว่างซี, เสฉวน ของจีน เป็นต้น และผลักดันศูนย์กระจายสินค้าที่นครคุนหมิงให้เป็นรูปธรรม
4. การเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวที่เป็นตัวขับ เคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด โดยการนำเสนอโครงการที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการ เช่น โครงการกระตุ้นการตลาดการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัด, โครงการพัฒนาการตลาดและการท่องเที่ยวแบบระยะยาว (Long Stay), การจัดทำโครงการเชียงใหม่ Grand Sale, โครงการจัดประชุมหอการค้าทั่วประเทศ เป็นต้น
5. การส่งเสริมผลักดันให้มีการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
6. การผลักดันการลงทุนภาครัฐที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น โครงการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ , โครงการรถไฟรางคู่ – ความเร็วปานกลาง, โครงการ Logistics Park ,โครงการขนส่งมวลชนภายในตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น
7. การขยายโอกาสการเข้าถึงความช่วยเหลือภาครัฐที่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการภาคธุรกิจ เช่น โครงการมหกรรมเงินทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ, โครงการ Business Clinic, โครงการแก้ไขปัญหาแรงงาน เป็นต้น
8. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์บริการข้อมูลด้านการค้าการลงทุนของจังหวัด เชียงใหม่ หรือ (Trade Investment Service Center) ของเชียงใหม่ที่ได้ก่อตั้งขึ้นแล้วให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการนำมาใช้ใน ภาคธุรกิจ และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในทางการค้า – การลงทุนของจังหวัดเชียงใหม่ในภาพรวมระยะยาว
9. การพัฒนาขีดความรู้ความสามารถของผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงใหม่ให้เกิด ความรู้ใหม่ในสาขาที่ครอบคลุมและผู้ประกอบการมีความต้องการ
10. การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจของหอการค้า เพื่อศึกษาและทำงานร่วมกับภาครัฐ
นโยบายที่ 3 สนับสนุนมวลหมู่สมาชิก ให้ผนึกกำลังเป็นเครือข่ายความร่วมมือ (Cluster) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกหอการค้า และผู้ประกอบธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ ให้มีความเข้มแข็ง สามารถยืนหยัดและแข่งขันได้ ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ระหว่างประเทศ
แนวทางและแผนการดำเนินงาน
1. การรณรงค์เพิ่มสมาชิกของหอการค้าในครบในทุกวิสาหกิจ และในทุกอำเภอ เพื่อการดำรงบทบาทเป็นตัวแทนของวิสาหกิจในทุกประเภท โดยจะรักษาฐานสมาชิกเก่า และการสรรหาสมาชิกใหม่ไปแบบคู่ขนานโดยมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น
• การจัดงานสังสรรค์
• การจัดโครงการทัศนศึกษาดูงานในต่างประเทศ
• การให้ความสำคัญการสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดทั้งด้าน เว็บไซต์, วารสาร, จดหมายข่าว, รายการวิทยุ และจดหมายอิเล็คทรอนิกส์
2. จัดโครงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิก ที่ตรงกับความต้องการ โดยหอการค้าฯ จะเชื่อมโยงกับองค์กรที่มีองค์ความรู้ เช่น โครงการด้านนวตกรรม ของเครือข่ายนวัตกรรม, โครงการพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศ, การพัฒนาด้านบริการ-จัดการ, การพัฒนาด้านการผลิต , การพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับโลจิสติกส์ , และการให้ความรู้ด้านภาษีและการบัญชี ภายใต้โครงการ Tax up to Date เป็นต้น
3. การจัดโครงการผู้ประกอบการยอดเยี่ยมแต่ละสาขาในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการกระตุ้น การพัฒนาธุรกิจ การบริการให้ได้มาตรฐานและเป็นแบบอย่างที่ดีทางธุรกิจของจังหวัดต่อไป
4. เป็นองค์กรผู้ประสานงานในการขยายเครือข่ายความร่วมมือของสมาชิก-ผู้ ประกอบการ
5. สร้างโอกาส และรายได้ใหม่ให้แก่สมาชิก โดยใช้นวัตกรรม (Innovation) เช่น โครงการเครือข่ายนวัตกรรมของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่
6. โครงการจัดฐานข้อมูลสมาชิกให้เป็นระบบ ปรับปรุงข้อมูลสมาชิก – วิสาหกิจ และรวบรวมข้อมูลในเชิงลึกในธุรกิจแต่ละสาขา เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้ในการวางแผน และกำหนดยุทธศาสตร์ของธุรกิจ เพื่อการแข่งขัน
7. สร้างจิตสำนึก ด้านจรรยาบรรณทางธุรกิจ และความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR :Corporate Social Responsibility)
นโยบายที่ 4 ร่วมมือองค์กรพันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคสถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ที่จะทำงานประสานกันเป็นเอกภาพในการดำเนินโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ ในลักษณะร่วมคิด ร่วมงานและร่วมใจ
แนวทางและแผนการดำเนินงาน
1. ร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนา และดำเนินโครงการ-กิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาภาคเศรษฐกิจของจังหวัดกับภาค รัฐ ภาคการศึกษา และองค์กรเอกชนในทุก ๆ ระดับ ทั้งในระดับจังหวัด ภูมิภาค และระดับประเทศ ในลักษณะร่วมคิด ร่วมงานและร่วมใจ เช่น โครงการพัฒนาฝีมือแรงงาน และบุคลากรที่ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นต้น
2. กระชับความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันของคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.)
3. สนับสนุนโครงการ/ กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ SMEs ผ่านหน่วยงานบริการเครือข่ายวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาคเหนือ (Northern Network Service Provider for Small and Medium Enterprises : NNSPSME)
4. สานต่อ และสนับสนุนการเป็นหอการค้าคู่มิตรกับหอการค้าทั้งใน และต่างประเทศ เพื่อเป็นการขยายความ ร่วมมือทางการค้าในระดับจังหวัด และในระดับประเทศ
5. สร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสื่อมวลชน โดยพัฒนาแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสื่อมวลชนที่ทันสมัย-และเป็น ข้อมูลที่ได้รับความเชื่อมั่น – เชื่อถือได้
นโยบายที่ 5 ประสานแนวคิด เชียงใหม่นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง (City of Life and Prosperity) เพื่อให้เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมและมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้ความสุขและชีวิตที่มีคุณค่าแก่ ผู้อยู่อาศัย และผู้มาเยือน ในฐานะเมืองที่น่าอยู่ และน่าท่องเที่ยวในระดับเอเชีย พร้อมกับเป็นประตูการค้าการลงทุนสู่สากล
แนวทางและแผนการดำเนินงาน
1. ผลักดันยุทธศาสตร์ให้ เชียงใหม่เป็นนครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง (City of Life and Prosperity) ผ่านแผนงานพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ในระยะ 4 ปี (2553-2556)
2. มุ่งเน้นความสำคัญในการพัฒนาผังเมืองจังหวัดเชียงใหม่ให้สอดคล้องกับข้อ เท็จจริงและความต้องการของประชาชนชาวเชียงใหม่ และไม่สร้างผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่วนรวมในอนาคต
3. การรักษาประเพณี วัฒนธรรมที่เป็นเสน่ห์ และมูลค่าเพิ่มของจังหวัดเชียงใหม่ เช่น โครงการพิธีดำหัวปี๋ใหม่เมืองของภาคเอกชน การร่วมอนุรักษ์การแต่งกายผ้าเมือง เป็นต้น
4. การร่วมรักษาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นจังหวัดเชียงใหม่ เช่น ปัญหาหมอกควันในช่วงฤดูแล้ง, ปัญหาภูมิทัศน์ของเมือง เป็นต้น
5. การเป็นเจ้าภาพหลักในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เช่น พัฒนาในเรื่องพลังงาน โลจิสติกส์ ค้าส่ง – ค้าปลีก และการเพิ่มผลผลิต
6. การเพิ่มขีดความสามารถด้านการค้าชายแดน และการค้าอนุภูมิภาคในเขตภาคเหนือตอนบน |
ข่าวสารจากประธาน
ข่าวกิจกรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวกิจกรรมประชาสัมพันธ์
ข่าวเศรษฐกิจ |
|
|
|
|